Category Archives: วิจารณ์นักชก

ตะลึง พบ “เมียเก่าฟลอยด์” เสียชีวิตลึกลับในบ้านพักด้วยวัยเพียง 40 ปี

Boxing-277

โจซี่ แฮร์ริส” อดีตภรรยาของ “เดอะมันนี่” ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กำปั้นไร้พ่ายชาวสหรัฐฯ ถูกพบเป็นศพในบ้านของตัวเอง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 มีนาคม 2020

สำหรับ “โจซี่ แฮร์ริส” เป็นอดีตภรรยาของ “ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์” ที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเมื่อปี 1995 ก่อนมีลูกด้วยกัน 3 คน

อย่างไรก็ตามในปี 2010 ทั้งคู่ก็แยกทางกัน หลังอดีตนักมวยได้ทำร้ายร่างกายเธอต่อหน้าลูกๆ ก่อนถูกศาลสั่งจำคุกเป็นระยะเวลา 2 เดือน ฐานทำร้ายร่างกาย

ซึ่งก่อนเสีชีวิต คุณแม่ลูกสาม กำลังอยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคดีหมิ่นประมาทกับ อดีตสามี เป็นจำนวนเงินสูงถึง 20 ล้านเหรียญ หลังเขาดันไปให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ว่าเธอเล่นยาเสพติด ซึ่งคดียังไม่จบสิ้น

ทางด้าน ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์  อดีตนักชกเจ้าของสถิติชนะ 50 ไฟต์ รวด โกยรายได้ไปมากถึง 915 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 27,500 ล้านบาท ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นนักชกที่ทำเงินได้มากที่สุดแห่งทศวรรษ 2010 (ในช่วงระหว่างปี 2010-2019)

เจ้าตัวกล่าวว่า ยังไม่รู้เรื่องนี้เลยเนื่องจากอยู่ในช่วงเดินทางไปยังทวีปยุโรป

พาทวงแชมป์คืน “ฟลอยด์” เสนอตัวเทรน “ไวลเดอร์” รีแมตช์กับ “ฟิวรี่”

Boxing-276

“เดอะมันนี่” ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ อดีตกำปั้นไร้พ่ายชาวสหรัฐฯ ออกมาเสนอตัวเป็นเทรนเนอร์ให้กับ “ดีออนเตย์ ไวลเดอร์” นักชกรุ่นน้อง

ที่เพิ่งจะพลาดท่าเสียแชมป์สภามวยโลก (WBC) รุ่นเฮฟวี่เวท ให้กับ ไทสัน ฟิวรี่ นักชกชาวอังกฤษ ที่สังเวียนเอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563

โดยไฟต์ดังกล่าว กำปั้นรุ่นยักษ์ชาวมะกัน เป็นฝ่ายโดน “ยิปซีคิง” ไทสัน ฟิวรี่ เล่นงานเกือบตลอดเกมการชก ก่อนพี่เลี้ยงตัดสินใจโยนผ้าขอยอมแพ้ในยกที่ 7 ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิตของนักชกวัย 34 ปี

อย่างไรก็ตามกระแสล่าสุด มีแนวโน้มว่าจะมีการรีแมตช์ภาค 3 กันสำหรับ ไทสัน ฟิวรี่ กับ ดีออนเตย์ ไวลเดอร์ ที่สหรัฐอเมริกา ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ แต่รอเจรจาในเรื่องของสัญญา และค่าเหนื่อยสำหรับนักมวยทั้งคู่

ซึ่ง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ อดีตแชมป์โลก 5 รุ่น ได้เผยผ่านสื่อว่า “ถ้าผมได้ฝึกเขา ถ้าผมได้มีโอกาสขัดเกลาเขา ผมจะสอนให้เขารู้ว่าจะเอาชนะคู่ชกแบบนี้ได้อย่างไร”

สำหรับ นักชกวัย 43 ปี ยังคงหนุนหลังรุ่นน้องเหมือนเดิม โดยโพสต์หลังความพ่ายแพ้นัดแรกว่า “ไม่ว่าคุณจะชนะ แพ้ หรือเสมอ ดีออนเตย์ ไวลเดอร์ น้องชายของผมก็ยังเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน พวกเราควรให้การสนับสนุนเขาต่อไป”

ชมเต็มๆ คลิปฟาจาร์โด คู่ชิงIBFแก่นนคร เสมอแชมป์โลกแม็ก

Boxing-253

ถามไถ่กันมาแบบเน้นๆ ถึงคู่ชกของเจ้า แก่นนคร ศักดิ์กรีรินทร์ ในรายการ‘ศึกกำปั้นสะท้านโลก บ้านรติรัตน์’

ไม่ธรรมดา จริงหรือ เพราะจากการตีข่าว “โจมาร์ ฟาจาร์โด” นักชกฟิลิปปินส์ คนนี้เคยปะหมัดเสมอกับ ฟรานซิสโก้ โรดิเควซ แชมป์โลก WBC ชาวเม็กซิกันมาแล้ว วันนี้เรามาดูไฟท์เต็มของเจ้าปินส์อันตรายตัวนี้ว่า แซบสมราคาคุยหรือเปล่า ในคลิปเมื่อครั้งเขาขึ้นชก เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2015 ที่ประเทศเม็กซิโก ชมจบแล้วจะรู้เองว่า ฟาจาร์โด ของจริงหรือของปลอม….แล้วมาลุ้นกัน ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ไทยรัฐทีวีช่อง 32 ถ่ายทอดสดเวลา 16.00-18.00 น.เป็นต้นไป

สวยแกร่ง! วันนี้ของ “บาร์บี้” กำปั้นสาวเบลารุสดีกรีแชมป์โลกที่เคยมีข่าวคู่จิ้นกับ “บัวขาว”

Boxing-214

เชื่อว่าคอหมัดมวย โดยเฉพาะแฟนคลับของ บัวขาว บัญชาเมฆ น่าจะจำเธอคนนี้ได้ดี สำหรับนักมวยสาวชาวเบลารุส เอเคเทอริน่า วานดาร์เยว่า หรือฉายาบนสังเวียน “บาร์บี้” ที่ได้มาจากรูปร่างหน้าตาที่สวยน่ารักราวตุ๊กตาของเธอนั่นเอง

โดยย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี 2559 คิกบ็อกซิ่งสาวรายนี้ได้เดินทางมาฝึกซ้อมที่ค่ายมวยบัญชาเมฆ ก่อนมีรูปเผยแพร่ทางโซเชียลในอิริยาบถสบายๆเป็นกันเองกับบัวขาว ซึ่งตอนนั้นเรียกได้ว่ากระแส “คู่จิ้น” กระหึ่มวงการเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นกระแสดังกล่าวก็ค่อยๆเลือนหายไปแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ กำปั้นขวัญใจชาวไทยก็เดินหน้าขึ้นสังเวียนอยู่เรื่อยๆ และย้ายค่ายไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนบาร์บี้ก็ยังโลดแล่นอยู่บนสังเวียนผ้าใบต่อไป พร้อมมีสถานะ “คุณแม่” เพิ่มเข้ามาด้วยการมีลูกชายวัย 3 ขวบกับแฟนหนุ่มชาติเดียวกันนั่นเอง

สำหรับบาร์บี้ เกิดเมื่อวันที่ 20 มกราคม 1991 ปัจจุบันอายุ 28 ปี เริ่มต้นอาชีพนี้ตั้งแต่ปี 2009 เธอมีดีกรีแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่งรายการ WKN สองสมัยในปี 2010, 2011 นอกจากนี้ยังเคยเป็นแชมป์โลกมวยไทยรายการ IFMA สองสมัยในปี 2009, 2010 และแชมป์ยุโรปของ IFMA สองครั้งในปี 2009 และ 2012 อีกด้วย

ปัจจุบัน บาร์บี้ฝึกซ้อมอยู่ที่ Kick Fighter Gym ภายใต้การดูแลของ อังเดร คูเลบิ้น กำปั้นระดับตำนานอีกคนของเบลารุส เธอมีสถิติคิกบ็อกซิ่งที่สวยหรูไม่แพ้หน้าตา ด้วยการชนะ 58 (น็อก 16) และแพ้เพียง 7 ไฟต์เท่านั้น

Advertisement

ล่าสุด บาร์บี้เตรียมขึ้นสังเวียนในศึก ONE: Century Part I ในวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคมนี้ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยจะพบกับ จาเน็ต ท็อดด์ กำปั้นสาวชาวอเมริกัน

ที่สุดThe Ring แหลมหาย อิโนอูเอะพุ่ง ปาเกียวเสียบ

Boxing-201

ความเปลี่ยนแปลงคือนิรันดร์ แต่กับเว็บไซต์เดอะริงค์แล้ว อันดับที่สุดปอนด์ต่อปอนด์1ถึง3 ไม่เคยเปลี่ยมาร่วม1ปีแล้ว หลังจากไฟท์ที่ยิ่งใหญ่ระหว่าง เกนเนดี้ โกลอฟกิ้น กับ ซาอูล อัลวาเรซภาคสอง 15 กันยายน 2561 หักปากกาเชียนระนาว เมื่อชัยชนะตกบนตักของอัลวาเรซ งานนี้เด็ดดอกฟ้าสะเทือนถึงดวงดาว กับวันนี้ผู้ที่มาแทนเจ้า3จี คือนักชกผิวเหลืองตาหยี คู่หมั้นหมายของเจ่้าแหลม NAOYA INOUE ที่เบียดตัวดังขึ้นมาครองอันดับ4 อย่างน่ากลัว และการหวนกลับมาอีกครั้งของเจ้าเทพปาเกียวที่ติดอันดับ10 ตอนนี้เรามาดูความ เปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ว่า พวกเขาจัดอันดับล่าสุด ได้ถูกใจพวกเรามากน้อยเพียงได กับ10 อันดับที่สุดของเดอะริงค์

1. VASILIY LOMACHENKO RING, WBA, WBO LIGHTWEIGHT COUNTRY: UKRAINE 14-1-0 (10 KOS) WEEKS ON LIST: 175

Boxing-202

2. TERENCE CRAWFORD WBO WELTERWEIGHT COUNTRY: U.S. 35-0-0 (26 KOS) WEEKS ON LIST: 233

Boxing-203

3. CANELO ALVAREZ RING, IBF, WBA MIDDLEWEIGHT COUNTRY: MEXICO 52-1-2 (35 KOS) WEEKS ON LIST: 56

Boxing-204

4. NAOYA INOUE RING, IBF COUNTRY: JAPAN 18-0-0 (16 KOS) WEEKS ON LIST: 112

Boxing-205

5. ALEKSANDR USYK RING, WBC COUNTRY: UKRAINE 16-0-0 (12 KOS) WEEKS ON LIST: 70

Boxing-206

6. ERROL SPENCE JR. IBF, WBC COUNTRY: U.S. 26-0-0 (21 KOS) WEEKS ON LIST: 109

Boxing-207

7. GENNADIY GOLOVKIN COUNTRY: KAZAKHSTAN 39-1-1 (35 KOS) WEEKS ON LIST: 244

Boxing-208

8. JUAN FRANCISCO ESTRADA RING, WBC COUNTRY: MEXICO 40-3-0 (27 KOS) WEEKS ON LIST: 24

Boxing-209

9. MIKEY GARCIA WBC LIGHTWEIGHT COUNTRY: U.S. 39-1-0 (30 KOS) WEEKS ON LIST: 115

Boxing-210

10. MANNY PACQUIAO WBA COUNTRY: PHILIPPINES 62-7-2 (39 KOS) WEEKS ON LIST: 11

“สามเอ” เตรียมเป่าเค้กครบ 36 ปี หวังคว้าชัยศึก ONE ที่ญี่ปุ่นเป็นของขวัญตัวเอง



Boxing-135

“ซ้ายไฟลามทุ่ง” สามเอ ไก่ย่างห้าดาว เตรียมฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 36 ปีของตนเองในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวันเดียวกับศึกประวัติศาสตร์ของ วัน แชมเปียนชิพ นัดที่ 100 ภายใต้ชื่อศึกว่า ONE: CENTURY ที่สนามเรียวโงกุ โกกุงิกัง กรุงโตเกียว

ศึกนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะถือเป็นมหกรรมศิลปะการต่อสู้ที่จะมีการจัดแข่งขันถึง 2 รอบในวันเดียวกัน แบ่งเป็นรอบละ 11 คู่ จากนักสู้ทั้งสิ้น 44 คน จากหลากหลายประเภทกีฬาการต่อสู้ ยิ่งใหญ่อลังการด้วยการเดิมพันเข็มขัดแชมป์โลก ONE ถึง 4 เส้น และการแข่งขัน ONE เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ รอบสุดท้ายอีก 3 คู่

เจ้าตำนานมวยไทยที่ยังเนื้อหอมตลอดกาลอย่าง สามเอ จะขึ้นชกในศึก ONE: CENTURY รอบแรก  ซึ่งไฟต์นี้ถือว่าเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเส้นทางนักสู้วัย 36 ปีแล้ว

“ผมขอขอบคุณ คุณชาตรี ศิษย์ยอดธง นายใหญ่ของ วัน แชมเปียนชิพ และยิม Evolve ที่ให้ผมได้ชกในรายการนี้ เพราะเป็นรายการใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบจัดการแข่งขันครั้งที่ 100 ซึ่งนักกีฬาที่ร่วมรายการนี้จะต้องได้รับการคัดสรรจากทีมงานเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นมหกรรมศิลปะการต่อสู้ที่ต้องการให้แฟนมวยจดจำภาพประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่นี้ไปอีกนานแสนนาน”

ด้านคู่ชกของ สามเอ เป็นนักชกอิมพอร์ตจากฝรั่งเศส “ดาเรน โรลแลนด์” วัย 21 ปี มีดีกรีเป็นแชมป์ WBC มวยไทย รุ่น 126 ปอนด์ ซึ่งทั้งคู่ปรับน้ำหนักลงมาเจอกันในรุ่นสตรอว์เวต ของ วัน แชมเปียนชิพ ซึ่งมีพิกัดระหว่าง 52.3 – 56.7 กก. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ ONE ที่จัดการแข่งขันในรุ่นนี้

“ผมไม่เคยประมาทคู่ต่อสู้ ผมเตรียมตัวดีมาตลอด แต่ถ้าผมแพ้นั่นคือผมแพ้จริง ไม่มีการอ่อนซ้อมแต่อย่างใด โดยเฉพาะไฟต์ล่าสุดที่เสียเข็มขัดแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวตให้ โจนาธาน แฮ็กเกอร์ตี ยอมรับว่าเป็นบทเรียนราคาแพงที่ไม่มีวันลืม ทำให้ผมต้องกลับมาพัฒนาตนเองให้มากขึ้นและทำตลอด ผมไม่เคยหยุด ผมจะต้องเดินต่อไปข้างหน้า อายุมากขึ้น ความแข็งแกร่งก็จะลดลง ผมตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี ผมจึงเน้นการออกกำลังกายด้วยการเล่นเวต ยกน้ำหนัก เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงครับ”

ในศึกนี้นอกจากมี “สามเอ ไก่ย่างห้าดาว” ที่เป็นตัวแทนจากประเทศไทยแล้ว ยังมีนักสู้สาวลูกครึ่งเลือดไทย-ญี่ปุ่น “ริกะ อิชิเกะ” ที่จะกลับไปบุกบ้านเกิดของต้นตระกูล ที่กรุงโตเกียว ในศึก ONE: CENTURY รอบแรก เริ่มแข่งขันคู่แรกเวลา 07.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาผ่าน TNT

ส่วนอีกคนคือ แชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวต “The Iron Man” รถถัง จิตรเมืองนนท์ จะขึ้นป้องกันตำแหน่งครั้งแรกในศึก ONE: CENTURY รอบสอง ซึ่งจะถ่ายทอดสดไปยัง 140 ประเทศทั่วโลก ทางแอปพลิเคชัน ONE Super App และโซเชียลมีเดียของ ONE Championship ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป ตามเวลาประเทศไทย และทางไทยรัฐทีวีช่อง 32 ตั้งแต่เวลา 22.15 น. ในวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคมนี้



ส่องนอกสังเวียน “ร.ต.บัวขาว” กำปั้นมหาชนทำไมถึงได้เลื่อนยศ

Boxing-121

หลังจากที่ “ดำดอทคอม” บัวขาว บัญชาเมฆ นักชกขวัญใจชาวไทย หรือชื่อจริง นายสมบัติ บัญชาเมฆ ที่มีตำแหน่งทางทหาร เป็นนายทหารชั้นประทวน และได้รับการประดับยศเลื่อนขั้นจาก สิบโท เป็นนายทหารสัญญาบัตร ยศร้อยตรี เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งได้มีพิธีประดับยศไปเมื่อวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ทำหน้าที่ประดับยศ สร้างความแปลกใจให้กับใครหลายคนว่าทำไม บัวขาว ถึงได้เลื่อนยศทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นักชกวัย 36 ปี นอกจากจะต้องขึ้นสังเวียนทำหน้าที่ในการเป็นนักกีฬาแล้ว ยังมีหน้าที่อีกอย่างนั่นก็คือการเป็นตัวแทนของกองทัพบกในการร่วมทำกิจกรรมกับหลายหน่วยงานทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกีฬาให้กับเยาวชนชายแดนใต้ “สร้างองค์ความรู้และเสริมทักษะกีฬามวยไทยให้เยาวชนในจังหวัดชายแดนใต้”

รวมถึงสร้างขวัญและกำลังใจให้กับ เจ้าหน้าที่, ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการลงพื้นที่ไปเยื่ยมชมชุมชนที่ได้รับผลจากความรุนแรง นอกจากนี้ยังเดินทางไปร่วมปฏิบัติหน้าที่บริการประชาชนต่างๆ ยามกองทัพบกจัดตั้งจุดบริการประชาชน ซึ่งถือว่าเจ้าตัวทำมาอย่างต่อเนื่อง

บัวขาว บัญชาเมฆ ได้เปิดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นอกเหนือจากหน้าที่ของนักกีฬา ตนก็พร้อมที่จะนำความสามารถของตนเองไปก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม หลายคนอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องการร่วมทำกิจกรรมกับกองทัพบกตลอดที่ผ่านมา ตนทำงานแบบเงียบๆ เพราะถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติกับภารกิจทางการทหาร

สำหรับ บัวขาว บัญชาเมฆ ได้เลื่อนฐานะจากนายทหารชั้นประทวนเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ยศร้อยตรี หลังกระทรวงกลาโหมพิจารณาแล้วว่ามีวุฒิการศึกษา และเงื่อนไขครบถ้วนตามที่กำหนด พร้อมกันนี้เจ้าตัวจะเลื่อนตำแหน่งจากรองผู้บังคับหมู่ หมวดบริการ กองร้อยบริการ กองบริการ โรงเรียนการกำลังสำรอง ศูนย์การกำลังสำรอง (รอง ผบ.หมู่ มว.บร.ร้อย.บร.กบร.รร.กสร.ศสร.) ไปประจำแผนกศูนย์การกำลังสำรอง (ศสร.)

Boxing-122
Boxing-123
Boxing-124
Boxing-125
Boxing-126

หยิบไม่ต้องคิด! ส่องลีลาการจับจ่ายของ “ฟลอยด์” อดีตกำปั้นสุดรวย

Boxing-103

“เดอะมันนี่” ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ อดีตกำปั้นไร้พ่ายชาวสหรัฐฯ ที่กำลังสร้างความฮือฮาอีกครั้งหลังเดินทางไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเจรจาไฟต์รีแมตช์พิเศษกับ แมนนี่ ปาเกียว ยอดกำปั้นชาวฟิลิปปินส์

โดยตัวของ อดีตนักชกวัย 42 ปี ได้อัดคลิปยืนยันว่ามีการเจรจาเกิดขึ้นจริง ไฟต์ดังกล่าวจะจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ซึ่งตอนนี้กำลังรอทางด้านของ “เดอะ แพ็คแมน” อดีตแชมป์โลก 8 รุ่น ตอบรับที่จะเข้าร่วมเท่านั้น

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ติดตัวของ อดีตแชมป์โลก 5 รุ่น นั่นก็คือลีลาการใช้จ่ายของเจ้าตัว ที่เข้าร้านไหนต้องเรียกว่าเหมายกชั้นเลยก็ว่าได้ อย่างล่าสุดไปช็อปปิ้งที่ร้านเสื้อแบรนด์ฝรั่งเศสอย่าง บัลแมง ในกรุงโตเกียว

เจ้าตัวก็เล่นกวาดหมดชั้นกว่า 20 ตัว (ราคาตัวละกว่า 50,000 บาท) โดยสั่งพนักงานให้นำป้ายราคาออก และพับใส่ถุงชนิดที่ไม่ต้องดูป้ายราคากันเลยว่าเสื้อแต่ละตัวมีราคาเท่าไร งานนี้เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนที่ไม่ชอบเจ้าตัวเป็นทุนเดิมน่าจะแอนตี้หนักในความอวดรวยเข้าไปอีกเป็นแน่ 

สำหรับ เจ้าของสถิติชนะรวด 50 ไฟต์ เคยเป็นนักกีฬาที่มีรายได้มากที่สุดของโลกมาหลายสมัย แม้เจ้าตัวจะอำลาสังเวียนไปแล้วกว่า 2 ปีแต่ก็ยังมีการชกไฟต์พิเศษที่สามารถทำเงินได้มากถึง 270 ล้านเหรียญ (ประมาณ 8,700 ล้านบาท) ในการพบกับ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ยอดนักสู้ UFC และล่าสุดโกยรายได้ไปอีก 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 290 ล้านบาท) ในการสู้กับ เทนชิน นาสุกาว่า กำปั้นดาวรุ่งชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปี เมื่อวันสิ้นปี 2018

Boxing-104
Boxing-105
Boxing-106

“ราฟฟี สิงห์ป่าตอง” : ชีวิตนักมวยฝรั่งเศสแชมป์เวทีลุมพินีบนสังเวียนเลือดมวยไทย

Boxing-76

“ถ้าผมคิดเรื่องหาเงินเป็นอันดับแรก ผมคงไม่เลือกชกมวยไทย แต่ผมต่อย เพราะผมรักมวยไทย” 

การตอบคำถามด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำของ ราฟาแอล โบอิค (Raphael Bohic) หรือ ราฟฟี สิงห์ป่าตอง นักมวยไทยอาชีพชาวฝรั่งเศส คงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า “เขารักมวยไทยมากแค่ไหน ?”

สำหรับคนหนุ่มที่เติบโตมาในประเทศที่พัฒนา และสามารถหารายได้หลักครึ่งแสนต่อเดือน แทบไม่มีความจำเป็นใดๆเลย ที่เขาต้องมาใช้ชีวิตแบบนักมวยไทย ในแผ่นดินที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง รวมถึงต้องปรับตัวกับทุกๆเรื่องตั้งแต่อาหารการกิน ภาษา ไปจนถึงวัฒนธรรมต่างกัน

แต่เพราะมนุษย์ทุกคนต่างความหลงใหลและวิถีทางที่อยากจะเป็นแตกต่างกัน…ราฟฟี ยินดีที่จะสละชีวิตอันสุขสบายในประเทศฝรั่งเศส ดินแดนที่คนไทยหลายคน อยากไปท่องเที่ยวหรือใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เพื่อมาต่อสู้บนสังเวียนเลือด แลกกับ  ชื่อเสียง เงินตรา และความสุขที่ได้เดินบนเส้นทางที่ใจต้องการ 

หากนับนิ้วมือตามจำนวนปีที่ ราฟฟี อยู่กินบนแผ่นดินไทย ก็คงต้องใช้นิ้วมือทั้งสองข้าง เพื่อบอกแทนว่า เขาใช้เวลานานกว่าแค่ไหน… 

กว่าชาวต่างชาติคนหนึ่งอย่างเขา จะผงาดขึ้นมาเป็น นักชกแม่เหล็กแถวหน้าของวงการมวยไทยยุคนี้ ที่มีเข็มขัดแชมป์ รุ่น 147 ปอนด์ เวทีมวยลุมพินี และแชมป์โลกมวยไทยสถาบัน WMC รุ่น 140 ปอนด์ เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จ

ไอ้หนุ่มช่างไฟหัวใจมวยไทย 

แรนส์ (Rennes) เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกตอนเหนือ ห่างจากปารีส 310 กิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม วิถีชีวิตของผู้คนที่เรียบง่าย บ้านเมืองที่สะอาดสะอ้านตา จนถูกยกให้เป็น เมืองน่าอยู่ลำดับต้นๆ ของประเทศฝรั่งเศส  

ราฟฟี ใช้ชีวิตในวัยเด็กและเติบโตที่เมืองนี้ เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น เขาเรียนหนังสือควบคู่กับการทำงานเป็น “ช่างไฟฟ้า” ตามอาชีพที่ครอบครัวทำกันมา (ทำงานสองสัปดาห์, เรียนสองสัปดาห์) จนถึงอายุ 18 ปี

“ผมชอบกีฬาต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 6 ขวบ เคยเรียนยูโด ก็ไม่ได้ติดใจอะไร จึงเลิกไป พออายุสักประมาณ 14 ปี ชอบหาเวลาว่างเปิดคลิปดูการชกมวยหลากหลายรูปแบบ แต่ที่ชอบมากสุด คือ มวยไทย เพราะสามารถศอกได้ ทำได้หลายอย่างไม่ผิดกติกา ส่วนการต่อสู้แบบอื่น อย่าง คิก บอกซิง ผมดูแล้วมันไม่สนุกเลย” 

“ผมชอบดูคลิปบัวขาว, แสนชัย หรือว่าคลิปการชกนักมวยไทยเก่าๆ เมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ยิ่งเปิดดูก็ยิ่งทำให้ผมสนใจมวยไทยมากขึ้น เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปฝึก จนมาทราบว่ามียิมสอนมวยไทยเปิดอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานห่างประมาณ 10 กิโลเมตร ทุกวันหลังเลิกงานตอนเย็น ผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียนมวยไทยที่นั่น ตั้งแต่ 2 ทุ่ม – 4 ทุ่ม แล้วค่อยกลับบ้าน”

“ผมไม่รู้ว่าเขาสอนถูกต้องหรือไม่ รู้แต่ว่าผมอยากฝึกมวยไทย และอยากหาเวทีชกเยอะๆ” ราฟฟี บอกกับเราถึงเหตุผลที่เริ่มหลงรักมวยไทย

ราฟฟี ได้เริ่มต้นเรียนมวยไทย ตอนอายุ 17 ปี  ซึ่งหากเทียบกับเด็กไทยก็นับว่าเริ่มต้นช้ามาก แต่เขาคิดว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะเขารู้สึกสนุกและเต็มใจจะเหนื่อยเพิ่มเติมในทุกๆวันหลังเลิกงาน จนมวยไทยกลายเป็นความหลงใหลที่ ราฟฟี ถอนตัวไม่ขึ้น

หนุ่ยน้อยจากเมืองแรนส์ พยายามตระเวนหารายการชกมวยไทยในประเทศฝรั่งเศส แต่น่าเสียดายที่ไฟต์มีจัดไม่บ่อยนักและเว้นช่วงนานเกินไป ทำให้ ราฟฟี่ เริ่มอยากออกเดินทาง ไปสัมผัสประสบการณ์ชกจริง ถูกฝึกสอนจริง โดยชนชาติต้นตำรับกีฬาชนิดนี้ 

“ที่ฝรั่งเศส ปีๆหนึ่ง จะมีรายการชกแค่ 4-5 ไฟต์เท่านั้น แต่ผมเคยได้ยินมาว่าที่เมืองไทย มีรายการต่อยทุกเดือน ผมจึงอยากหาโอกาสมาชกที่ไทย ผมอยากขึ้นเวทีต่อยเยอะๆ ตอนนั้นผมทำงานได้เงิน เดือนละประมาณ 50,000 บาท ก็ค่อยๆเก็บสะสม จนมีเงินก้อนหนึ่งเป็นทุนส่วนตัว สำหรับบินมาเรียนมวยไทย”

“คนอื่นเขาอาจจะมาเมืองไทยเพราะอยากพักผ่อน ท่องเที่ยว แต่เหตุผลเดียวที่ผมมาไทย เพราะมวยไทยเท่านั้น”

สัมภาระเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งถูกบรรจุลงในกระเป๋าเดินทาง พร้อมกับเงินเก็บจำนวนหนึ่งที่ได้มาจากการทำงานประจำอย่างขันแข็ง คือ สองสิ่งหลักๆที่ราฟฟี่ โบอิค ได้นำขึ้นเครื่องบินออกเดินทางไปยังอีกซีกโลก ในดินแดนที่ห่างไกลออกไปจากถิ่นฐานของเขากว่า 12,000 กิโลเมตร 

แผ่นดินที่ในวันนี้เขาให้คำแทนประเทศนั้นว่า “บ้านหลังที่สอง” 

ฝรั่งบนสังเวียนมวยไทย

เสียงปี่พาทย์อันเร่งเร้า เคล้ากับเสียงกลองชวา จากวงดนตรีปี่กลอง ที่บรรเลงอยู่ข้างๆสนามมวย ท่ามกลางบรรยากาศเสียงอื้ออึงที่ไม่เคยหยุด ของเซียนมวยและคนดูในเวทีมวยมาตรฐาน “ลุมพินี”

เป็นประสบการณ์การชกครั้งหนึ่ง ที่น่าตื่นเต้นของ ราฟฟี โบอิค นักมวยโนเนมชาวฝรั่งเศสวัย 18 ปี ที่ได้มีโอกาสเดินทางจากจังหวัดภูเก็ต ขึ้นมาชกบนสังเวียนอันทรงเกียรตินี้

“ครั้งแรกที่มาเมืองไทย ผมไปซ้อมอยู่ที่ แฟร์เท็กซ์ ก็ฝึกซ้อมไปได้ระยะหนึ่ง จนหมดเงินเก็บ ก็บินกลับไปทำงานเก็บเงินและมาเมืองไทยเป็นครั้งที่สอง โดยเข้ามาฝึกซ้อมกับค่ายมวย สิงห์ป่าตอง ที่ จ.ภูเก็ต”

“สาเหตุที่เปลี่ยนมาซ้อมที่นี่ เพราะมีเพื่อนแนะนำให้มา เขาบอกว่า ค่ายนี้สอนดี ดูแลดี ฝรั่ง คนไทย เท่าเทียมกัน แถมมีรายการให้ชกด้วย”

“ความตั้งใจแรกผมคิดว่าจะอยู่สัก 4 เดือน เงินหมดค่อยกลับฝรั่งเศสไปทำงานต่อ แต่ระหว่างที่ฝึกซ้อมอยู่ สิงห์ป่าตอง ผมได้ขึ้นชกประมาณ 9 ไฟต์ เจอพวกสมัครเล่นเหมือนกันชนะน็อกได้หมดเลย ค่ายจึงพาผมไปลองชกลุมพินี 1 ครั้ง” 

“พอใกล้ถึงกำหนด ผู้ใหญ่ทางค่ายก็สนใจ อยากให้ผมชกมวยไทยต่อ ผมจึงบินกลับฝรั่งเศส ไปทำเรื่องเอกสารประมาณ 2 สัปดาห์ และตัดสินใจมาใช้ชีวิตอยู่เป็นนักมวยที่ไทยจนถึงทุกวันนี้”

การได้รับการถ่ายทอดวิชามวยไทย จากครูฝึกชาวไทย บวกกับได้ลองชกในสนามจริงที่ทางค่ายมีโปรแกรมจัดชกที่ จ.ภูเก็ต ทุกวันเสาร์ ทำให้ ราฟฟี่ โบอิค ยิ่งหลงรักมวยเข้าอย่างสุดหัวใจ

ก่อนที่เขาจะตัดสินใจ เลือกเอาดีทางการชกมวยไทย ตามคำชวนของ หนุ่มน้อย เมืองหาดใหญ่ (สมนึก พัดบุรี) โปรโมเตอร์และผู้ดูแลคณะสิงห์ป่าตอง ที่ชอบใจในความขยันของนักชกฝรั่งคนนี้ โดยในตอนนั้นเขามี ดาเมียน อลามอส เพื่อนร่วมชาติที่เคยเป็นแชมป์เวทีมวยลุมพินี เป็นแรงบันดาลใจที่เขาอยากเดินตามรอย

แม้พื้นฐานเขาไม่ได้มีทักษะด้านมวยไทยที่ดีนัก เมื่อเทียบกับนักมวยชาวไทย โดยเฉพาะด้านเทคนิค ทั้งเรื่องเชิงมวย เหลี่ยมมวย หรือการออกอาวุธให้รุนแรงได้น้ำหนัก แต่การที่เขาถูกฝึกซ้อมซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานานในทุกๆวัน เริ่มทำให้เขามีพัฒนาการที่ดีขึ้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป

“ซ้อมมวยไทยที่ไทย มันทั้งหนัก ทั้งเหนื่อยมาก และยากมากๆเลย ต้องใช้เวลาซ้อมวันละหลายชั่วโมง แบ่งเป็นช่วงเช้ากับช่วงเย็น บางครั้งเหนื่อยจนร่างกายแทบจะไม่ไหวแล้ว แต่ใจก็บอกว่า เอาอีก เอาอีก เพราะเรายังต้องเรียนรู้หลายอย่างมากในกีฬามวยไทย”

“อยู่ที่ฝรั่งเศส ผมได้เรื่องหมัดกับเตะ แต่มาอยู่ไทย ผมได้ฝึกเรื่องศอกกับเข่า รวมถึงการกอดปล้ำด้วย ซึ่งยากมากๆ ต้องเรียนทุกวัน วันละหลายชั่วโมง กว่าจะไล่แขนเป็น ผมเริ่มจากฝึกปล้ำกับคนตัวเล็กกว่า จำได้ว่าตอนแรกๆ ผมปล้ำสู้เขาไม่ได้เลย ทั้งที่ตัวเองใหญ่กว่า พอเริ่มปล้ำเป็น ก็ค่อยๆขยับมาเจอคนที่หุ่นสูสีกัน ตอนนี้ผมปล้ำคนที่ตัวใหญ่กว่าได้แล้ว”

กว่าที่ ราฟฟี่ จะได้ขึ้นไปชกแต่ละไฟต์ เขาต้องผ่านการฝึกซ้อมที่ยาวนานและยากลำบาก แต่เพราะความกระตือรือร้นที่อยากเก่งมวยไทย ทำให้ ราฟฟี่ พยายามหัดฟัง และพูดภาษาไทย จนสามารถสื่อสารกับเทรนเนอร์ได้ง่าย

บวกกับทัศนคติของ ราฟฟี่ ที่เป็นคนที่เปิดรับการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ชั้นเชิงการชกของเขา ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ ยามอยู่บนสังเวียน ไม่ว่าจะประจันหน้ากับ คู่ชกชาวต่างชาติ หรือนักมวยไทย

กลายเป็นว่า พอ ราฟฟี่ ชกไปนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีลักษณะท่าทางการออกอาวุธ ป้องตัว เหมือนกับนักมวยชาวไทยมากขึ้นตามไปด้วย

“ตอนแรกที่ราฟฟี่อยู่กับเรา เขาไม่ได้ชกแบบนี้เลย สไตล์เขาจะเดินแข็งทื่อ เพราะเขาไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่สิ่งที่ทำให้เขามีสไตล์การชกไม่เหมือนฝรั่งชกมวย ดูเหมือนคนไทยมากกว่า เพราะเขาเป็นคนที่เชื่อครูฝึกมาก ไม่ว่าจะสอนอะไร เขาจะรับฟัง และทำตามหมด โดยไม่มีข้อสงสัย”

“ฝรั่งบางคน ที่เคยเรียนมวยไทยในประเทศเขามาก่อน บางทีพอมาเจอการสอนโดยคนไทย เขาก็อาจจะไม่ยอมรับในบางวิธีการสอน หรือเทคนิคที่ครูฝึกถ่ายทอด เพราะคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ก็เลยทำให้เขามีสไตล์การชกที่ไม่เหมือนคนไทย” 

“แต่ราฟฟี่เขาไม่ได้คิดแบนนั้น เขาเป็นคนที่น้ำไม่เต็มแก้ว มีความอดทนสูง มีระเบียนวินัย ขยัน ก็เลยทำให้เขาสามารถชกได้คล้ายๆกับนักมวยไทย แม้เขาจะเริ่มต้นชกตอนอายุ 18 ปีแล้ว” ปาริฉัตร พัดบุรี ผู้จัดการค่ายมวย สิงห์ป่าตอง-ศิษย์หนุ่มน้อย เล่าเรื่องราวของ ราฟฟี่ ในขณะที่เจ้าตัวกำลังฝึกซ้อมในช่วงเย็น

100 เข็มและเข็มขัดแชมป์ลุมพินี 

เพราะไม่มีเทคนิคและกระดูกมวยติดตัวมาตั้งแต่เด็ก เหมือนนักมวยไทยอาชีพทั่วไป ราฟฟี่ สิงห์ป่าตอง จึงต้องชดเชยความบกพร่องนั้น ด้วยการทุ่มเทและฝึกซ้อมให้หนัก และพยายามให้มากกว่า นักมวยอาชีพ ที่เหนือกว่าเขา 

รอยแผลเป็นบนใบหน้าของ ราฟฟี่ สิงห์ป่าตอง มากกว่า 100 เข็ม คือ หลักฐานพยานที่เด่นชัดว่า เขาผ่านอะไรมาบ้างบนสังเวียนผ้าผืนใบ 

“ผมชอบมวยไทย เพราะออกอาวุธไม่ต้องเยอะ แต่เต็มที่ หนักทุกลูก เป็นกีฬาที่อันตรายมาก อย่างผมเย็บมา 100 กว่าเข็มแล้ว เหนือคิ้ว ใต้ตา หางคิ้ว ตรงข้อศอก เคยเย็บมากสุดครั้งเดียว 17 เข็ม ความรู้สึกตอนที่มีแผลแตก มันรู้สึกร้อนๆ แต่ไม่ได้เจ็บ ที่เจ็บสุดคือตอนเย็บแผล เจ็บมากกว่าตอนชกเสียอีก แล้วต้องรีบเย็บด้วย เพราะมันยังร้อนอยู่ ถ้าช้าจะเจ็บมากกว่านี้”

“บางครั้งโดนเตะซี่โครง นอนพลิกตัวไม่ได้เลย อาชีพนักมวยไทยไม่ง่ายเลย เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยคิดหรอกว่าตัวเองจะเป็นแชมป์ ผมแค่อยากมีรายการชกบ่อยๆ อยากชกให้คนดูประทับใจ ผมดีใจที่เวลาไปสนามมวย มีแฟนมวยคนไทยมาขอถ่ายรูป เข้ามาทักทาย รู้สึกมีความสุขมาก” ราฟฟี่ กล่าว

“ไม่เจ็บ ไม่เรียนรู้” ราฟฟี่ เข้าใจความหมายของคำนี้เป็นอย่างดี เพราะในความเป็นจริง เขาแทบไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องใช้กำปั้นแลกความเจ็บปวด เพื่อเงินทองเหมือนกับนักมวยชาวไทย ที่จำนวนไม่น้อย มาจากครอบครัวที่ยากจน 

เขาสามารถกลับไปใช้ชีวิตเป็นคนชนชั้นกลาง ทำงานหาเงินไม่ต้องเจ็บตัว อยู่ในประเทศฝรั่งเศส ไม่ต้องห่างไกลกับครอบครัว แต่ถึงกระนั้น ราฟฟี่ ไม่ได้คิดเช่นนั้น เขายินดีที่จะเสี่ยงรับความเจ็บปวดบนสังเวียนผืนผ้าใบมวยไทย ด้วยเหตุผลที่มากกว่าแค่เรื่องเงินทอง

“พ่อแม่ท่านก็เป็นห่วงนะครับ ตอนที่ผมเลือกเป็นนักมวยไทย แต่ชกเพราะผมรักมวยไทย ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นแชมป์ อยากมีรายการชกบ่อยๆ อยากชกให้เต็มที่ให้คนดูสนุก ถึงอาชีพนักมวยค่าตัวจะน้อย แต่ผมไม่ได้ชกมวยไทยเพราะเงิน ถ้าผมคิดเรื่องหาเงินเป็นอันดับแรก ผมคงไม่เลือกชกมวยไทย ผมก็คงไปหางานอย่างอื่นทำ” 

จากนักชกฝรั่งไร้ทรงมวย ความขยัน ตั้งใจ และไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ทำให้ ราฟฟี่ ยกระดับตัวเองมาสู่มวยค่าตัวเงินแสนอีกคนของประเทศไทย จากจุดเริ่มต้นค่าตัว 4,000 บาทต่อไฟต์ 

แต่เขาคงไม่มีทางได้เป็นแชมป์มวยไทย เวทีลุมพินี หรือมีโอกาสได้ชกกับนักมวยไทยฝีมือดีหลายราย อาทิ ชูเจริญ ดาบรันสารคาม, ฉมวกทอง ไฟต์เตอร์มวยไทย, ยอดพนมรุ้ง จิตรเมืองนนท์, มนัสชัย หยกขาวแสนชัยยิม, ก้องศักดิ์-พงษ์สิริ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม, นนทกิจ ต.หมอศรี รวมถึง แสนชัย หากเขาไม่มีวินัยและความพยายามที่มากพอ

โดยเฉพาะเรื่องการลดน้ำหนักที่ถือเป็นฝันร้ายสำหรับนักมวยไทยทุกคน ยามต้องเข้าโปรแกรมคุมน้ำหนัก เพื่อไม่ให้เกินน้ำหนักที่ตกลง และด้วยรูปร่างโครงสร้างร่างกายที่ใหญ่กว่าคนไทย ทำให้ ราฟฟี มักเป็นฝ่ายบีบน้ำหนักลงมาอยู่ที่ประมาณ 142 ปอนด์ โดยบางครั้ง เขาจะให้นักมวยไทยที่เก่งกว่า ต่อน้ำหนักให้เขา 2 ปอนด์  เพราะเจ้าตัวไม่สามารถทำน้ำหนักให้ลงไปมากกว่านั้นได้

“ผมเข้าใจนะครับว่า นักมวยไทยส่วนมากน้ำหนักจะไม่ค่อยเกิน 140 ปอนด์ (63.5) แต่ผมบีบน้ำหนักได้มากสุดแค่ 142 ปอนด์ (64 กิโลกรัม) เพราะน้ำหนักตัวผมปกติมันเยอะมาก (69 กิโลกรัม หรือ 152 ปอนด์)” 

“เท่ากับว่าถ้าผมชก 142 ปอนด์ ผมต้องลดน้ำหนักลงมาประมาณ 5 กิโลกรัมต่อไฟต์ ซึ่งผมต้องคุมอาหารก่อนชกเป็นสัปดาห์ และออกไปวิ่งเยอะๆ ช่วง 2-3 วันก่อนชก ถึงขนาดนั้น น้ำหนักก็ยังเกินมา 1 ปอนด์ตลอดตอนชั่ง จนผมชินแล้ว”

“แต่ผมไม่ค่อยคิดมากว่า มันเหนื่อย ก็ต้องสู้ อย่าไปอารมณ์เสีย พยายามคิดให้เป็นบวก ชกให้เต็มที่ก็พอ แล้วค่อยคิดเรื่องแพ้ ชนะ หรือแชมป์”

ราฟฟี ในวัย 28 ปี ลงหลักปักฐานและพบรักกับหญิงสาวชาวไทย โดยมีธุรกิจเล็กๆ ด้วยการปล่อยเช่ามอเตอร์ไซค์ ใน จ.ภูเก็ต เป็นรายได้เสริม นอกเหนือจากรายการชกที่เขามีต่อยอย่างสม่ำเสมอในไทย รวมถึงรายการในต่างประเทศ ที่ได้บรรลุข้อตกลงเซ็นสัญญากับ ONE Championship

แม้ในวันนี้ ราฟฟี่ จะมีรายได้จากการชกมวยไทยต่อเดือน เป็นเงินจำนวนที่มากกว่าตอนทำงานเป็นช่างไฟฟ้าในบ้านเกิด 

แต่อย่างที่เขาบอกกับเรา เงินไม่ใช่ประเด็นหลักที่เขาเลือกอาชีพนักมวยไทย เขาเลือกมวยไทย เพราะนี่คืองานที่เขารักและมีความสุขที่จะทำ เขายินดีที่จะเหนื่อย ยินดีจะพบกับความเจ็บปวด และพร้อมที่จะทุ่มเทให้มันอย่างสุดหัวใจ 

และสิ่งที่ตอบแทนกลับมาวันนี้ คือ ราคาแห่งความพยายามที่เขาแลกมันมาด้วย เลือด, หงาดเหงื่อ และความตั้งใจของชาวต่างชาติคนหนึ่ง บนสังเวียนผืนผ้าใบมวยไทย

“ผมมีความสุขกับทุกไฟต์ที่ได้ชก ผมไม่ได้รู้สึกมีปัญหาในการปรับตัว เรื่องการใช้ชีวิตที่ไทย แม้ว่า ไทย กับ ฝรั่งเศส จะมีความแตกต่างกันมาก ทั้ง สภาพอากาศ, อาหารการกิน หรือภาษา แต่เราก็ยังเห็นว่าคนไทยยิ้มให้กันตลอด ส่วนบ้านผมในช่วงหน้าหนาว เราคงไม่ได้เห็นรอยยิ้มจากพวกเขาแน่ๆ”

“มันก็มีบางครั้งตอนอยู่ไทย ที่ผมคิดถึงบ้าน เพราะผมได้กลับบ้านฝรั่งเศสแค่ปีละครั้งเอง แต่พอผมกลับฝรั่งเศสจริงๆ อยู่ที่นั่นได้แค่ 2-3 อาทิตย์ ก็อยากกลับไทยแล้ว ผมรู้สึกเหมือนที่นี่ เป็นบ้านอีกหลังของผมจริงๆ” ราฟฟี ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มหลังจบประโยคนี้

“จิมูเอล ปาเกียว” : ลูกไม้ที่อยากอยู่ใต้ต้นของคุณพ่อ

Boxing-69

“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” คือสุภาษิตที่หมายความว่า ลูกย่อมไม่แตกต่างไปจากพ่อแม่ แม้ว่าเส้นทางที่คนสองวัยเลือกเดินในตอนแรก จะแตกต่างกันสักแค่ไหน สุดท้ายต้องมาบรรจบที่ถนนเดียวกันทุกครั้งไป

สำหรับ แมนนี่ ปาเกียว ตำนานมวยแชมป์โลกชาวฟิลิปปินส์ ความต้องการเดียวที่ตัวเขามีต่อลูกชายสุดที่รัก จิมูเอล ปาเกียว คือ “ต้องไม่เป็นนักมวย” บาดแผลและความยากลำบาก บนเวทีพื้นผ้าใบ คือสิ่งที่แมนนี่ไม่ต้องการให้ทายาทคนใดของเขาได้สัมผัส

หากแต่จิตวิญญาณนักสู้ที่ส่งผ่านทางสายเลือด ชักพาให้ จิมูเอล เดินตามรอยเท้าพ่อ แม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวอย่างที่ตั้งใจ ผลงานของจิมูเอลดีแค่ไหน? แล้ว แมนนี่ ปาเกียว ตอบรับความฝันของลูกชายอย่างไร? 

ติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวปาเกียวไปพร้อมกัน…

เดินตามรอยพ่อ

เอ็มมานูเอล ปาเกียว จูเนียร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ จิมูเอล ปาเกียว เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 2001 เขาคือลูกคนโตจากทั้ง 5 คนของ แมนนี่ ปาเกียว นักมวยดีกรีแชมป์โลกชาวฟิลิปปินส์

Boxing-70

ด้วยชื่อเสียงของพ่อ จิมูเอล ได้รับความสนใจจากสื่อตั้งแต่เด็ก เขาเริ่มต้นเส้นทางของตัวเองในวงการบันเทิง จากการประกอบอาชีพนายแบบ และได้คบหากับดาราสาวชาวฟิลิปปินส์ที่ชื่อว่า เฮเว่น ปาราเลโฮ

เส้นทางชีวิตของจิมูเอลในช่วงวัยรุ่น ที่ดูเหมือนจะสวนทางกับผู้เป็นพ่อ เป็นไปตามความต้องการของ แมนนี่ ปาเกียว เขาและภรรยา จินนี่ ปาเกียว ไม่ต้องการให้ลูกชายขึ้นไปเจ็บตัวบนเวทีมวยเลยแม้แต่น้อย 

เจ้าของฉายา “แพคแมน” เคยออกสัมภาษณ์กับสื่ออย่างชัดเจนด้วยซ้ำว่า ต้องการให้ลูกชายเรียนกฎหมาย แทนที่จะมาสวมนวมต่อยมวยแบบเขา

หากแต่ วงการบันเทิง และ วิชากฎหมาย ไม่ใช่ความสนใจที่แท้จริงของจิมูเอล เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาประกาศอย่างชัดเจนว่าต้องการหันหน้าเข้าสู่วงการมวยสากล แม้จะเป็นเส้นทางที่แตกต่างจากบิดาของตัวเองก็ตาม

“จริงๆ แล้ว ผมต้องการไล่ตามความฝันในกีฬามวยสากล ผมต้องการเป็นนักชกสมัครเล่น แล้ววันหนึ่งผมจะเป็นตัวแทนของชาติในโอลิมปิก ผมต้องการสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง” จิมูเอลสัมภาษณ์ถึงความสนใจในกีฬามวยสากลกับ The Manila Times

“ผมชอบการชกมวย ผมรู้ดีว่ามันยาก และผมก็รู้ตัวเองเหมือนกันว่า ผมไม่จำเป็นต้องทำมัน แต่ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ว่าผมต้องการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ถึงจะไม่ใช่ในฐานะนักมวยอาชีพก็ตาม”

เนื่องจากต้องการขึ้นชกในระดับสมัครเล่น ที่มีหลายสิ่งแตกต่างไปจากมวยอาชีพแบบ แมนนี่ ปาเกียว จิมูเอลจึงฝึกซ้อมและหาลู่ทางแสดงฝีมือด้วยตัวเอง เขาได้โอกาสขึ้นชกไฟต์แรกในชีวิต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในการแข่งขันมวยโชว์ 2 ยก เจอกับ ลูคัส คาร์สัน นักมวยสมัครเล่น ที่เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกันกับจิมูเอล

Boxing-71

ไฟต์แรกของจิมูเอล ได้รับความสนใจจากแฟนมวยทั่วโลก มีคนดูคลิปผลงานการชกของเขาในเฟซบุ๊กไปแล้วกว่า 2 ล้านครั้ง เขาเองทำผลงานได้น่าประทับใจ จิมูเอลแสดงให้เห็นถึงสไตล์การชกที่ดุดัน และเรียกเสียงเชียร์ดังลั่นจากผู้ชม หลังใช้หมัดซ้ายผสานกับฮุคขวา เล่นงานคู่แข่งจนร่วงไปกองกับพื้น

น่าเสียดายที่หมัดของจิมูเอลยังไม่มีน้ำหนักมากพอ คู่แข่งของเขาลุกขึ้นมาได้ก่อนกรรมการนับสิบ และเมื่อเขาสู่ยกที่สอง จิมูเอลแสดงให้เห็นถึงอาการอ่อนแรง ผลจบลงด้วยการเสมอ และจิมูเอลยังต้องรอชัยชนะนัดแรกของตัวเองต่อไป

คำคัดค้านจากครอบครัว

“หลังจบแมตช์โชว์แรก ผมตระหนักได้ทันทีเลยว่า มันถึงเวลาที่ผมต้องโฟกัสไปยังการฝึกซ้อมอย่างจริงจังแล้ว” จิมูเอลกล่าวถึงบทเรียนที่ได้รับจากไฟต์แรก

Boxing-72

จิมูเอลแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในเส้นทางหมัดมวย ด้วยการเดินทางสู่นครลอส แอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อฝึกฝนกับ เฟรดดี โรช โค้ชคู่บุญของแมนนี่ ปาเกียว ก่อนการชกไฟต์ต่อไปที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

“มันทำให้ผมเจ็บปวดเหมือนกันที่เห็นเขาต่อยมวย เพราะผมรู้ว่ามันยากแค่ไหน” แมนนี่ ปาเกียว กล่าวถึงความคิดเริ่มแรกต่อการตัดสินใจของลูกชาย

หลัง แมนนี่ ปาเกียว รู้ว่า ลูกชายคนโตของตัวเอง ต้องการเดินบนเส้นทางแบบเดียวกันกับที่ตัวเองเคยเดินมาก่อน เขาและภรรยาคัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่พยายามเกลี่ยกล่อมลูกชายหลายครั้ง ให้เปลี่ยนใจและเลือกเส้นทางชีวิตในรูปแบบอื่น

“เราบอกเขาไปแล้วว่าการชกมวยมันยาก และเป็นงานที่หนัก คุณจำเป็นต้องทำงานหนัก ฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ และมีระเบียบวินัย เราพยายามทำให้เขาหมดกำลังใจในการชกมวยด้วยซ้ำ”

“ผมเข้าสู่วงการมวยเพราะว่าผมจน เราไม่มีอะไรเลยตอนนั้น ผมจึงมีภาระให้ชกมวย แต่สำหรับเขา มันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป ผมสงสัยว่า เขาจะหาแรงจูงใจมาชกมวยได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตเขาตอนนี้โอเคแล้ว มันเป็นคำถามใหญ่สำหรับผม และมันคือเหตุผลที่เราต้องสำรวจเขาอย่างใกล้ชิด”

“ผมบอกเขาไปว่า แกน่าจะไปโรงเรียน หรือบริหารธุรกิจที่เรามี จิมูเอลตอบผมกลับมาว่า จะให้เขาไปทำอะไร ในเมื่อการชกมวยเป็นแพชชั่นของเขาเหมือนกัน เขาต้องการจะเป็นตัวแทนของชาติในฐานะนักกีฬาคนหนึ่ง”

“แม่ของเขาร้องไห้หลายครั้ง บอกกับเขาตลอดว่า อย่าไปชกมวยเลยลูก แต่เขายืนกรานว่าเขาต้องการจะทำมัน นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ สุดท้ายเราเลยบอกว่า โอเค เราจะสนับสนุน แต่เราจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด”

Boxing-73

แมนนี่ ปาเกียว ทำตามคำพูดที่ตัวเองได้กล่าวไว้ เขาลงทุนเดินทางไปติวเข้มจิมูเอลด้วยตัวเอง เขาเฝ้ามองการออกหมัดของลูกชายอย่างตั้งใจ และพูดคุยถึงสิ่งที่ต้องแก้ไข เพื่อทำให้จิมูเอลเติบโตเป็นนักมวยที่ฝีมือดีไม่แพ้กัน

การฝึกซ้อมอย่างหนัก จากความตั้งใจของตัวเอง และการฝึกสอนของพ่อ กลับมาตอบแทนจิมูเอลอย่างคุ้มค่า เขาเอาชนะการชกไฟต์ที่สองเหนือ มิกูเอล อีแกน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา 

หลังการแข่งขันผ่านไปเพียงสองยก ด้วยหมัดซ้ายและฮุคขวา คอมโบเดิมที่เขาเคยใช้ในไฟต์แรก ที่คราวนี้ จิมูเอลฝึกฝนมาดีพอ จนสามารถน็อคคู่แข่งของเขาลงนับสิบได้ในที่สุด

“จิมูเอลส่งข้อความถึงพ่อและแม่ของเขา : ผมชนะ !!!” ข้อความในอินสตาแกรมของ ไดแอน กาสติเยโฆ่ สมาชิกทีมปาเกียว ที่บันทึกหมัดน็อกแรกของจิมูเอลเอาไว้

ไม่ขอทาบรอยเท้า

จิมูเอลขึ้นชกไฟต์ที่สามของตัวเองในเดือนมิถุนายน พบกับ ดาเรล มาร์เกวซ ในการชกแบบ 3 ยก แม้จะพลาดโอกาสน็อคคู่ต่อสู้แบบไฟต์ก่อนหน้า แต่จิมูเอลยังคว้าชัยชนะได้ด้วยคะแนน 30-24 และรักษาสถิติไร้พ่ายของตัวเองต่อไป

Boxing-74

ขณะที่จิมูเอลกำลังไปได้สวยในจุดเริ่มต้นอาชีพ แมนนี่ ปาเกียว กลับขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้งในช่วงบั้นปลายอาชีพ เมื่อเสือเฒ่าวัย 40 ปี เอาชนะ คีธ เธอร์แมน คว้าซูเปอร์แชมป์โลก WBA รุ่นเวลเตอร์เวตมาครองได้สำเร็จ

กว่า แมนนี่ ปาเกียว จะทำสถิติแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวต อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทุกการฝึกซ้อมของเขาอยู่ในสายตาของจิมูเอล นอกจากจะได้เรียนรู้บทเรียนหลายอย่างจากพ่อ จิมูเอลยังเปิดอกอย่างตรงไปตรงมา ว่าเขาคิดเห็นอย่างไร ถึงเส้นทางอาชีพของ แมนนี่ ปาเกียว ในตอนนี้

“สำหรับผม จริงๆ พ่อควรจะหยุดชกมวยได้แล้ว ผมหมายถึง เขาอายุ 40 และเขาไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ตัวเองอีก เขาคือตำนานของวงการมวยไปแล้ว” จิมูเอลกล่าวถึงความเห็นของตัวเองที่มีต่อคุณพ่อ

“อย่างไรก็แล้วแต่ ผมจะสนับสนุนเขาในทุกสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าทางเลือกของเขาจะเป็นอะไรก็ตาม”

คำกล่าวของจิมูเอลนั้นถูกต้อง แมนนี่ ปาเกียว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกต่อไป หากแต่เป็นจิมูเอลเอง ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองตัวเองในฐานะ “ลูกชายของ แมนนี่ ปาเกียว”

ความสำเร็จทุกอย่างของตำนานมวยชาวฟิลิปปินส์ คือเครื่องหมายคำถามที่จะติดตัว จิมูเอล ปาเกียว ไปตลอดชีวิต สถิติไร้พ่ายในการชกสามไฟต์ของจิมูเอล ไม่มีคุณค่าใดหากเทียบกับความสำเร็จของพ่อ แน่นอนว่าจิมูเอลรู้เรื่องดังกล่าวดี 

แต่แทนที่จะวิตกกังวลไปกับข้อกังขา และเสียงวิจารณ์ที่อาจตามมาหากเขาไปไม่ถึงความสำเร็จเดียวกัน จิมูเอลไม่นำคำพูดเหล่านั้นเหล่านั้นมาใส่ใจ และขอเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง

Boxing-75

“ผมเชื่อว่าไม่มีใครสามารถก้าวไปอยู่ระดับเดียวกับพ่อได้ เขาคือแชมป์โลก 8 รุ่น แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้แบบนั้น” จิมูเอลกล่าวถึงเป้าหมายของตัวเองในอนาคต

“ทุกสิ่งที่ผมต้องการ คือขึ้นชกในฐานะนักมวยสมัครเล่น แต่ถ้าวันหนึ่งผมมีโอกาสก้าวไปสู่ระดับอาชีพ แน่นอนว่าผมจะก้าวไปสู่ตรงนั้นแน่นอน”

ลูกไม้ที่ตกไม่ไกลต้น ไม่ใช่ทุกครั้งที่ลูกไม้เหล่านั้นจะเติบโตออกมาสวยงามแบบต้นพ่อ ไม่มีใครรู้ว่าจิมูเอลจะประสบความสำเร็จได้มากแค่ไหนบนผืนผ้าใบ

แต่ไม่ว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน สำหรับ แมนนี่ ปาเกียว แล้ว มันไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างเต็มปากในตอนนี้ว่า เขาพร้อมสนับสนุนลูกชาย ในฐานะนักมวยคนหนึ่ง และเชื่อมั่นว่า จิมูเอล จะประสบความสำเร็จในฐานะแชมป์โลก แบบที่เขาทำได้อย่างแน่นอน

“ผมสนับสนุนลูกชายของผมในทุกความตั้งใจของเขา ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งใดก็ตาม”

“มวยสากลเป็นกีฬาที่ยาก แต่ผมเชื่อมั่นว่าลูกชายของผม มีความสามารถที่จะก้าวไปเป็นแชมป์โลก ถ้าเขามุ่งหน้าและตั้งใจอย่างเต็มที่ไปกับมัน” แมนนี่ ปาเกียว กล่าวทิ้งท้าย ถึงบทเรียนสำคัญที่เขาฝากไว้ให้ลูกชายของตัวเอง