“อยู่อย่างวายร้าย หรือจะตายแบบฮีโร่” คำกล่าวสุดตรึงใจของ ฮาร์วี่ย์ เดนท์ หรือ Two-Face ในภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight สะท้อนความจริงถึงเรื่องของชีวิตที่มีสองด้าน ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไม่เคยผิดพลาด ท่ามกลางความสำเร็จของชีวิต
ฮูลิโอ เซซาร์ ชาเวซ ตำนานมวยแชมป์โลกชาวเม็กซิกัน คือหนึ่งคนที่มีชีวิตใกล้เคียงกับคำกล่าวนั้น บนเวทีเขาคือนักชกไร้พ่ายเกือบร้อยไฟต์ แต่นอกเวที เขาเลือกเส้นทางชีวิตที่ผิดพลาด จนครอบครัวแตกสลาย และเกือบเอาชีวิตไม่รอดในบั้นปลาย
พบกับเรื่องราวด้านมืดของวีรบุรุษชาวเม็กซิกัน ที่พลิกผันเขาเข้าสู่เส้นทางของยาเสพติด จนเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
ลำบากเมื่อยามเด็ก
ชีวิตของ ฮูลิโอ เซซาร์ ชาเวซ ในวัยเด็ก คล้ายกับนักมวยสู้ชีวิตรายอื่น เขาเติบโตอย่างยากลำบาก จากครอบครัวชนชั้นล่างในเมืองซิอูดัด โอเบรกอน รัฐโซโนรา ประเทศเม็กซิโก
สภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ชาเวซ และพี่น้องรวม 10 คน ต้องอาศัยอยู่ในตู้ขบวนรถไฟที่ถูกทิ้งร้าง พ่อของเขาทำงานเป็นคนงานให้กับการรถไฟ ส่วนแม่รับจ้างทั่วไปให้แก่ครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า แตกต่างจากเรื่องราวในนิยายที่บอกว่า ครอบครัวยังมีความสุขได้แม้อยู่ในภาวะยากจน ชาเวซต้องทนดูแม่ของเขา ถูกตบตีโดยพ่อขี้เมาแทบทุกวัน
“เหล้าคือโรคที่ร้ายกาจ ผมต้องเจ็บปวดกับมันเนื่องจากพ่อของผม เขาปฏิบัติกับแม่ในทางที่เลวร้าย มันเป็นอะไรที่แย่มาก” ชาเวซให้สัมภาษณ์กับ Sipse.com
ความฝันในการเป็นนักมวยแชมป์โลกของชาเวซ เริ่มต้นขึ้นจากจุดนั้น แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อ ที่สวมบทนักชกสมัครเล่นและใช้ภรรยาเป็นกระสอบทรายฝึกซ้อม ชาเวซเลือกอาชีพนักมวยสากล เพื่อหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว และพาแม่ออกจากชีวิตอันโหดร้ายนี้
“ผมเห็นแม่ต้องทำงานรีดผ้า หรือซักผ้าของคนอื่น ผมจึงสัญญากับแม่ไว้ว่า สักวันผมจะซื้อบ้านให้แม่ และเธอจะไม่ต้องกลับไปทำงานพวกนั้นอีก”
“ในช่วงต้นอาชีพ (นักมวย) ของผม ผมไม่เคยดื่มเหล้าเลย ผมเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยม เพราะผมดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ก่อนจะขึ้นชกแต่ละไฟต์ ผมตั้งสมาธิอยู่กับตัวเอง และฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นเวลา 2 เดือน”
ความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือครอบครัว คือแรงผลักดันใหญ่ที่ทำให้ชาเวซ ประสบความสำเร็จบนพื้นผ้าใบอย่างมหาศาล เขาคือแชมป์โลก 6 สมัย จาก 3 รุ่นน้ำหนัก พร้อมกับทำสถิติไร้พ่ายมากกว่า 80 นัด จากเด็กยากจนคนหนึ่งในทางรถไฟ กลายเป็นฮีโร่ของชาวเม็กซิกันทั่วประเทศ เพียงชั่วพริบตา
“ผมเคยมีมาแล้วทั้งหมด เงิน, ผู้หญิง, เกียรติยศ, รถหรู, เรือสำราญ หรืออะไรก็ตามที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องการ” ชาเวซเล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของตัวเอง
“แต่ของพวกนั้น ไม่เคยให้ความหมายแก่ชีวิตของผมเลย ผมรู้สึกไร้ค่า เพราะฉะนั้น ผมจึงหันไปทำอะไรล่ะ? สิ่งที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำในชีวิตนี้…” หันหน้าหาโคเคน
ช่องว่างที่เกิดขึ้นในจิตใจของชาเวซ เปลี่ยนนักมวยที่มีระเบียบวินัย และฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อคว้าชัยชนะ ให้กลายเป็นนักมวยที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หรือมีความรับผิดชอบใด ชาเวซลืมความตั้งใจที่ต้องการช่วยเหลือครอบครัวในวัยเด็ก แล้วหันหน้าเข้าหาขวดเหล้า โรคร้ายที่เขาเคยสาปส่งในวัยเด็ก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเหล้าไม่สามารถพาชาเวซหลีกหนีจากความจริงได้อีกต่อไป เขาขยับไปหายาเสพติดที่มีความรุนแรงมากขึ้น โคเคนคือคำตอบสุดท้ายที่ชาเวซต้องการในชีวิต แชมป์โลกไร้พ่ายรายนี้ ทิ้งกระสอบทรายไว้เบื้องหลัง เพื่อหันหน้าเสพสุขกับผงสีขาวที่กระจายตัวอยู่เบื้องหน้า
“น้องชายของผมล้วงเอาห่อกระดาษที่มีโคเคนอยู่ข้างในกางเกงออกมา แล้วเทมันออกไปทั่วโต๊ะหินอ่อน เพื่อที่เขาจะได้เสพมันอย่างสบายใจ” โรโดลโฟ ชาเวซ พี่ชายของฮูลิโอ เขียนเรื่อราวของน้องชายชายไว้ในหนังสือ Julio Cesar Chavez, the True Story
“ตอนแรกผมคิดว่า ผมควบคุมมันได้” ชาเวซกล่าวขยายถึงความสัมพันธ์ของเขากับเหล้าและยาเสพติด
“ผมแค่ต้องการเหล้ามากขึ้น ต้องการโคเคนมากขึ้น ต้องการทั้งหมดมากขึ้นและมากขึ้น ระหว่างการฝึกซ้อม ผมก็เสพมันมากขึ้นด้วย”
“ยกตัวอย่าง ในตอนแรก ผมจะทิ้งช่องว่างประมาณเดือนครึ่งในการใช้ยาเสพติดหรือเหล้า แต่หลังจากนั้น ผมค่อยๆ ลดเวลาของมันลงมาเรื่อยๆ”
“หลังจากนั้น ผมลดเวลาลงมาเหลือหนึ่งเดือน, 20 วัน, 15 วัน, 1 สัปดาห์, 4 วัน, 3 วัน ผมลดได้แค่นั้น เพราะมันจะต้องไม่แสดงผลให้เห็นในการตรวจโด๊ป”
ผลจากการใช้ยาเสพติดอย่างหนักของชาเวซ ไม่แสดงให้เห็นในการตรวจโด๊ป แต่ไปแสดงให้เห็นบนสังเวียนแทน เขาพ่ายแพ้แก่ แฟรงกี้ แรนดัลล์ ในปี 1994 ด้วยคะแนนไม่เอกฉันท์ และหยุดสถิติไร้พ่ายของเขาไว้เพียง 89-0-1 (ก่อนหน้านั้นเขาเสมอกับ เพอร์เนลล์ วิทเทเกอร์ มาในปี 1993)
“มันคือความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม ถ้าผมไม่ใช้โคเคนหรือดื่มเหล้ามากเกินไป ผมเชื่อว่าช่วงท้ายอาชีพของผม มันต้องแตกต่างไปจากนี้แน่” ชาเวซกล่าวถึงความรู้สึกหลังความพ่ายแพ้ของเขา
“แต่ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ผมสูญเสียความรักในการชกมวย สูญเสียความรักในทุกสิ่ง”
“ผมรู้สึกเสียดายหลายสิ่งที่ผมเคยทำในชีวิต ถ้าผมไม่ดื่มเหล้าหรือเล่นยา ผมคิดว่าผมอาจไม่แพ้ใครได้นานมากกว่า 100 ไฟต์”
“มันคงจะเป็นสถิติที่ไม่มีใครทัดเทียมได้ ถ้ามองกันตามหลักเหตุผลนะ เพราะฉะนั้น ผมไม่ชอบเส้นทางที่จบอาชีพผมเลย เพราะตลอดช่วงเวลาเหล่านั้น ผมทำร้ายคนอื่นไว้มาก โดยเฉพาะครอบครัวของผม”
ชีวิตพังทลาย
ตราบาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาเวซ คือความสัมพันธ์ของเขาที่ไปไม่รอดกับครอบครัว จากเด็กชายที่มองเห็นความชั่วร้ายของพ่อที่ติดเหล้า เขากลับเลือกเส้นทางผิดพลาด และทำในสิ่งที่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
“ช่วงนั้นผมมีความขัดแย้งกับครอบครัวและการฝึกซ้อม ผมกลายเป็นคนที่หยิ่งผยอง” ชาเวซกล่าว
“ผมพูดตามตรงว่า ลูกๆ ของผมเจ็บปวดมาก ผมปฏิบัติต่อแม่ของพวกเขาอย่างเลวร้าย ผมเองก็เมายาอยู่ตลอดเวลา ผมคิดว่ามันคงเป็นการทำร้ายพวกเขา”
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชาเวซหันหลังให้แก่ครอบครัว เขาพบเพื่อนใหม่ที่จะไม่ทำให้เขาต้องโดดเดี่ยวในโลกของตัวเองอีกต่อไป คนกลุ่มนั้นคือบรรดาพ่อค้ายา และเจ้าพ่อยาเสพติด ชาเวซเปิดเผยว่าทุกคนล้วนเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขา และยังหยิบยื่นโอกาสให้ชาเวซเจริญก้าวหน้า ด้วยการชักชวนเข้าสู่วงการค้ายาเสพติดอีกด้วย
“ผมรู้จักพวกค้ายาทุกคนแหละ พวกเขาทุกคน ผมกล้าพูดแบบนี้ ตั้งแต่ระดับเล็กที่สุดไปจนถึงใหญ่ที่สุด พวกเขาทุกคนอยากเจอผม พวกเขาอยากถ่ายรูปกับผม” ชาเวซเล่าถึงความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อพ่อค้ายาเสพติด
“เมื่อคุณตกหลุมลึกลงไปสู่การติดเหล้าหรือยาเสพติด นั่นหมายความว่าคุณตกหลุมรักเหล้าและยา แต่คนที่รักคุณที่สุด คือคนที่พยายามผลักคุณออกจากตรงนั้น”
“ผมต้องขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่เคยถลำลึก เข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาจริงๆ สักครั้ง”
ถึงจะรู้ดีว่าพัวพันกับเรื่องอันตราย แต่ชาเวซไม่เคยถอนตัวจากยาเสพติดได้เลย แม้แทบสูญเสียทุกอย่างในชีวิต บั้นปลายเส้นทางนักมวยอาชีพเป็นไปอย่างน่าผิดหวัง แถมยังถูกฟ้องหย่าโดยภรรยา ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันเป็นเรื่องใหญ่ มาตั้งแต่ปี 1996 จากคำกล่าวอ้างที่ว่า เขาลงมือทำร้ายร่างกายภรรยา หลังได้รับผลจากแอลกอฮอล์
“ผมไม่เคยทำสิ่งใดอย่างจริงจังเลยในชีวิต มันจึงเป็นสิ่งที่ยากที่ผมจะเลิกยา เพราะมันไม่มีสิ่งใดสำคัญกับผมอีกต่อไป” ชาเวซพูดถึงเหตุผลที่เขารักยามากกว่าครอบครัว
“คุณคิดว่าคุณสามารถเลิกยาเมื่อไรก็ได้ แต่นั่นมันเป็นแค่คำโกหก คุณกำลังหลอกตัวเองอยู่”
ชาวเวซประกาศแขวนนวมในปี 2005 มีสองอย่างที่อยู่เคียงข้างเขาในช่วงเวลาที่อยากลำบากหลังจากนั้น อย่างแรกคือลูกๆ ของเขาที่ไม่ยอมห่างไปไหน อย่างที่สองคือยาเสพติดที่ชาเวซไม่ยอมทิ้งไปให้ห่างตัวเช่นกัน แม้มันจะนำพามาซึ่งโรคซึมเศร้า จนเขาเกือบลงมือฆ่าตัวตายมาแล้วก็ตาม
ปี 2009 ความสัมพันธ์ของชาเวซกับยาเสพติดมาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อตัวเขาที่กำลังไร้สติจากฤทธิ์ยาเสพติด ถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาเป็นการด่วน ลูกๆ ของเขาตัดสินใจเด็ดขาด ว่าจะส่งพ่อเขารับการบำบัด ยุติเรื่องเลวร้ายทั้งหมดในชีวิตชาเวซไว้เพียงแค่นี้
“ผมตื่นขึ้นมาในห้องของคลินิกแห่งหนึ่ง โดยที่ยังมีสายน้ำเกลือติดอยู่กับแขนของผม แน่นอนว่าผมตัดสินใจดึงมันออกไป และเริ่มตะโกนด่าทุกคนที่พาผมมาที่นี่”
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ชาเวซรักยาเสพติดมากกว่าสิ่งใดในชีวิต เขาเข้ารับการบำบัดอยู่ 6 เดือน ก่อนเดินออกจากคลินิกแห่งนั้น เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไร้ยาเสพติด เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี
ช่วงเวลาไถ่บาป
หลังเสร็จสิ้นการบำบัด และหายขาดจากการติดยาเสพติด ชาเวซตัดสินใจตระเวนออกสื่อไปทั่วประเทศเม็กซิโก เพื่อหยิบยกเรื่องราวที่เขาเคยปิดบังในชีวิต ให้เป็นอุทธาหรณ์เตือนใจ แก่ชาวเม็กซิกันรุ่นหลังต่อไป
“ตอนนี้ผมมีความสุขมาก เพราะผมเลิกยามาได้ 1 ปีแล้ว เมื่อปีก่อน ผมเข้ารับการบำบัดยาเสพติด และผมไม่อายเลยที่จะพูดเรื่องนี้ให้พวกคุณได้ฟัง ขอบคุณพระเจ้าที่ตอนนี้ผมดีขึ้นมากแล้ว” ชาเวซเปิดเผยกับสื่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อปี 2011
ไม่เพียงแค่เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองให้สังคมได้รับรู้ ชาเวซทุ่มเทชีวิตที่เหลือไปกับการช่วยเหลือผู้คนให้ห่างไกลยาเสพติด เขารับเกียรติจากประธานาธิบดีเม็กซิโก เอ็นริเก้ เปญญา นิเอโต ให้ดำรงตำแหน่งเป็นทูตต่อต้านยาเสพติด เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่กัดกินประเทศเม็กซิโกมายาวนานหลายทศวรรษ
“ผมรู้สึกตื่นเต้น มีความสุข และภาคภูมิใจ แม้ว่าในขณะเดียวกัน ผมจะรู้สึกกดดัน และต้องทุ่มเทให้กับตำแหน่งนี้ ผมต้องอยู่ห่างไกลจากยาเสพติดให้เดิมเสียอีก” ชาเวซกล่าวหลังรับตำแหน่งทูตต่อต้านยาเสพติดจากรัฐบาล
นอกจากความร่วมมือจากรัฐบาล ชาเวซยังเดินหน้าเปิดคลินิกบำบัดยาเสพติดของตัวเองถึงสองแห่ง พร้อมกับดำเนินมูลนิธิการกุศล Julio Cesar Chavez Foundation เพื่อรวบรวมทุนไว้ช่วยเหลือผู้มีปัญหาด้านยาเสพติด ในประเทศเม็กซิโก
สำหรับคลินิกบำบัดของชาเวซแห่งแรกคือ Clinica Bajo del Sol ที่เมืองติฮัวนา ส่วนแห่งที่สองซึ่งเปิดได้ไม่นาน อยู่ที่เมืองซีนาโลอา ทั้งสองเป็นเมืองใหญ่ริมชายฝั่งแปซิฟิค ที่ชาเวซตั้งใจอยากให้ผู้ป่วย ได้ชมความสวยงามของธรรมชาติ แทนที่จะต้องอยู่ในศูนย์บำบัด ที่ล้อมรอบไปด้วยลวดหนาม แบบที่เขาเคยสัมผัสมา
กิลเลอร์โม แรงเกล เมนโดซา หนึ่งในนักจิตแพทย์ของคลินิกบำบัด Clinica Bajo del Sol เปิดเผยว่า ชาเวซเดินทางมาพูดคุย และเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองกับคนไข้บ่อยครั้ง แม้บางทีคนไข้ในคลินิกของเขาจะดูคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นพิเศษ เพราะใครคนนั้น คือลูกชายของชาเวซเอง
ปี 2012 ฮูลิโอ เซซาร์ ชาเวซ จูเนียร์ ตกเป็นข่าว ดังหลังถูกตรวจพบว่าใช้กัญชาก่อนขึ้นชกกับ เซร์คิโอ มาร์ติเนซ แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธเสียงแข็งในเวลาดังกล่าว ว่าไม่เคยเล่นยาหรือติดการพนันตามที่ถูกกล่าวอ้าง แต่สุดท้าย เขาตัดสินใจยอมรับ หลังถูกแบนยาว และหายตัวไปจากวงการโดยไม่ขึ้นชกถึงหนึ่งปีเต็ม
“ผมเริ่มดื่มหนักและเล่นยา ผมเสพกัญชาและยาหลายขนาน เพราะว่าผมมีปัญหาเรื่องการนอน ผมเลิกเหล้าไปสองปีก่อนหน้านี้ แต่ผมเปลี่ยนไปเล่นยาแทนแต่สุดท้ายมันก็จบแบบเดียวกัน คือของเหล่านั้นกลับมาทำร้ายผม” ฮูลิโอ เซซาร์ ชาเวซ จูเนียร์ กล่าว
“ผมต้องไปอยู่ติฮัวน่าสองเดือน ไปอยู่ในคลินิกของพ่อผม เพราะว่าผมเจ็บปวดจากโรคซึมเศร้า สำหรับผมมันยากมาก ผมถามตัวเองว่าทำไม ผมมีเงิน มีบ้าน ชีวิตผมไม่ได้แย่ แต่ต่อมาผมถึงรู้ว่าผมคิดผิด ภรรยาและลูกสาวผมรู้ดีว่า เวลาที่ผมดื่มเหล้า ผมมันแย่แค่ไหน”
คำกล่าวของ ฮูลิโอ เซซาร์ ชาเวซ จูเนียร์ สะท้อนภาพเดียวที่เคยเกิดขึ้นกับพ่อของเขา โชคดีที่ชาเวซ จูเนียร์ กลับตัวได้ทันเวลา โดยมีครอบครัวคอยเคียงข้าง และพร้อมหวนคืนล่าความสำเร็จบนเวทีมวยอีกครั้ง
เรื่องราวด้านมืดในชีวิตของ ฮูลิโอ เซซาร์ ชาเวซ จึงเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ยาเสพติดอันตรายและอยู่ใกล้ตัวมากแค่ไหน แม้แต่นักมวยผู้เป็นฮีโร่ของชาวเม็กซิกันทั่วประเทศ ยังตกหลุมพรางของสิ่งชั่วร้ายนี้ได้เพียงพริบตา และยังคงตามมาเล่นงานถึงรุ่นลูกของเขา
เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลย หากเห็นตำนานนักชกรายนี้ ทุ่มเททั้งชีวิตที่เหลือไปกับการต่อสู้ยาเสพติด เพราะตัวเขาเองรู้ดีถึงพิษภัยของมัน และไม่ต้องการเห็นใครต้องหลงทางในชีวิต ดั่งที่เขาเคยเป็นมาก่อนหน้านี้อีกแล้ว